วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

Orchestra

ประวัติของวงออร์เคสตรา
       
        วงออร์เคสตรา เป็นภาษาเยอรมัน หมายถึง สถานที่เต้นรำเป็นส่วนหน้าเวทีของโรงละครสมัยกรีกโบราณในยุคกลางความหมายได้เปลี่ยนเป็นเวทีที่ใช้แสดงเท่านั้น และในกลางศตวรรษที่ 18 
วงออร์เคสตรา หมายถึง การแสดงของวงดนตรี      
        ในระยะแรกการใช้เครื่องดนตรีไม่มีการระบุแน่นอนว่ามีการบรรเลงเป็นอย่างไร ต่อมาในระยะศตวรรษที่ 16มีโอเปราเกิดขึ้นทำให้มีความจำเป็นต้องการให้มีการบรรเลงกลมกลืนกับนักร้องจึงเริ่มมีการกำหนดเครื่องดนตรีลงในบทเพลงโดยเป็นลักษณะของวงเครื่องสายออร์เคสตรา(String Orchestra) มีผู้เล่นจำนวน 10-25 คน      
       ในศตวรรษที่ 17 เริ่มมีการเพิ่มเครื่องลมไม้และในตอนปลายยุคบาโรก (ประมาณ ค.ศ. 1750)
ผู้ประพันธ์เพลงเริ่มระบุจำนวนเครื่องดนตรีไว้ในบทเพลงโดยละเอียด มีการเพิ่มเครื่องลมทองเหลือง
และเครื่องประกอบจังหวะวงออร์เคสตราเริ่มมีการพัฒนารูปแบบจนได้มาตรฐาน
       ในยุค คลาสสิก (ศตวรรษที่ 18)
บทเพลงประเภทซิมโฟนีมีการพัฒนารูปแบบที่หลากหลายได้แก่ บทเพลงประเภท คอนแชร์โต โอเปรา
และเพลงร้องเกี่ยวกับศาสนานอกจากนี้ในวงออร์เคสตรายังมีเครื่องดนตรีแต่ละประเภทครบถ้วน คือ
ในกลุ่มเครื่องสายประกอบด้วย ไวโอลินวิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส ในกลุ่มเครื่องลมไม้
ประกอบด้วยฟลูต คลาริเน็ต โอโบ บาสซูนในกลุ่มเครื่องลมทองเหลืองประกอบด้วย ฮอร์น ทรัมเป็ต
ทรอมโบน และทูบาและในกลุ่มเครื่องตีประกอบด้วยกลองทิมปานี กลองใหญ่ และเครื่องประกอบจังหวะอื่นๆซึ่งจะมีรายละเอียดตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลง
       ต่อมา ในยุคโรแมนติกวงออร์เคสตราเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นทั้งนี้ก็เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่และสื่ออารมณ์ของบทเพลงให้ชัดเจน ความนิยมในบทเพลงประเภทบรรยายเรื่องราว(Symphonic poem)
ทำให้วงออร์เคสตรามีผู้แสดงถึง100 คนและนับว่าเป็นการพัฒนาถึงขีดสุดจนถึงยุคศตวรรษที่20 
เนื่องจากผลกระทบหลังสงครามโลกครั้งที่1 ทำให้วงมีขนาดลดลงซึ่งในการจัดวงนั้นก็ขึ้นกับปัจจัยทางสังคมเช่น เศรษฐกิจ การเมือง เป็นต้นเช่นเดียวกับการประพันธ์บทเพลง

วิวัฒนาการการจัดวงออร์เคสตรา

ยุคบาโรก (Baroque) ค.ศ. 1600-1750 
เป็นยุคแรกของวงออร์เคสตรา ดังนั้นมาตรฐานการจัดวงจึงมีความไมแน่นอนซึ่งอาจประกอบด้วย
เครื่องสาย คือ ไวโอลิน 2 แนว(ไวโอลิน 1 ไวโอลิน 2) วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส 


เครื่องลมไม้ คือ
โอโบ 3 เครื่อง บาสซูน 1 เครื่อง บางครั้งอาจมีฟลูต
เครื่องลมทองเหลือง คือ ทรัมเป็ต 3 เครื่อง บางครั้งอาจมีฮอร์น
เครื่องประกอบจังหวะ คือ ทิมปานี  

นอกจากนี้อาจมีออร์แกนเมื่อบรรเลงบทเพลงที่เกี่ยวกับศาสนา (เพลงโบสถ์)
และเครื่องดนตรีชนิดอื่นตามความต้องการของผู้ประพันธ์
 







ยุคคลาสสิก (The Classic Era) ค.ศ. 1750-1820 
ยุคนี้วงออร์เคสตราเริ่มมีแบบแผนอาจแบ่งเป็นวงเครื่องสายออร์เคสตรา (String Orchestra) คือ
วงออร์เคสตราที่ประกอบด้วยเครื่องสายเพียงอย่างเดียวและวงออร์เคสตรามีเครื่องดนตรีทั้ง 4 ประเภท
อาจประกอบด้วย ฟลูต 2 เครื่อง ฮอร์น2เครื่อง โอโบ2 เครื่อง ทรัมเป็ต 2เครื่อง คลาริเน็ต 2 เครื่อง
กลองทิมปานี 2 บาสซูน 2 เครื่อง เครื่องสาย(ตามแต่ประพันธ์เพลงต้องการ)
ในกลุ่มเครื่องสายจะมีแนวบรรเลง 2 แนว คือ แนวทำนองหลักและแนวเสียงประสาน


ยุคโรแมนติก (The Romantic Era) ค.ศ. 1820-1900
ยุคนี้ออร์เคสตราพัฒนาถึงจุดที่เป็นมาตรฐานเครื่องดนตรีสามารถให้สีสันกับบทเพลงได้อย่างเด่นชัด
โดยมีการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีให้มากขึ้นผู้บรรเลงประมาณ 80 คน ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ดังนี้
ฟลูต4 เครื่อง  ดับเบิลเบส8 เครื่อง  โอโบ4 เครื่อง  ฮอร์น4 เครื่องคลาริเน็ต 4 เครื่อง
ทรัมเป็ต 4 เครื่องบาสซูน 4 เครื่อง  ทรอมโบน4 เครื่อง ไวโอลิน1 14 เครื่อง ทิมปานี 1ชุด
ไวโอลิน2 14 เครื่องกลองใหญ่1 ตัว  วิโอลา8 เครื่อง  ฉาบ1 คู่  เชลโล10 เครื่อง   ฮาร์ฟ1คู่


 
        


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น